วันจันทร์ที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2556

บันทึกสะท้อนการเรียนรู้ครั้งที่5

1.) สิ่งที่่ได้เรียนรู้
     ***อัตชีวประวัติ หมายถึง การเขียนประวัติด้วยตนเอง
           ชีวประวัติ หมายถึง การเขียนประวัติของบุคคลอื่น ซึ่่งมีความเป็นจริง

     ***ความเรียง มีย่อหน้าเดียวเท่านั้น
           เรียงความ มี 3 ย่อหน้า ประกอบด้วย 
                            1. ส่วนนำ (มี1ย่อหน้า)
                            2. เนื้อเรื่อง (มีมากกว่า1ย่อหน้าก็ได้)
                            3. ส่วนสรุป (มี1ย่อหน้า)
     การเขียนเรียงความต้องคำนึงถึง 3 สิ่งต่อไปนี้
                            1. ความเป็นเอกภาพ คือ ความเป็นหนึ่งเดียวกันของเนื้อเรื่อง
                            2. ความเป็นสัมพันธภาพ คือ ความเชื่อมโยงเกี่ยวเนื่องกันในแต่ละย่อหน้า
                            3. ความเป็นสารัตถภาพ คือ สาระในเนื้อเรื่องที่เขียน

2.) ความรู้ใหม่ 
 การกล่าวรายงาน คำว่า"กราบเรียน..." สามารถใช้กับบุคคลได้ 5 ตำแหน่ง ดังนี้
          - นายกรัฐมนตรี ตามด้วย...(ตำแหน่ง)
          - ประธานสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร
          - ประธานสมาชิกวุฒิสภา
          - ประธานศาลฎึกา
          - ประธานศาลรัฐธรรมนูญ

3.) ข้อเสนอแนะ
          การรายงานโดยเพิ่มแรงเสริมให้ของรางวัล  จะช่วยให้ผู้เรียนตื่นตัวกับการเรียนมากขึ้น





นางสาวนิภารัตน์   รุมกิ่ง   รหัสนักศึกษา 55113400169  ตอนเรียน D1



วันอาทิตย์ที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2556

อัตชีวประวัติ


อัตชีวประวัติ



ชื่อ-นามสกุล : นางสาวนิภารัตน์    รุมกิ่ง                    ชื่อเล่น : ยุ้ย
วันเกิด : ศุกร์ที่ 26 พฤศจิกายน  2536
กำลังศึกษา : ชั้นปีที่ 2 หลักสูตรการประถมศึกษา คณะครุศาสตร์ มหาวิยาลัยราชภัฏสวนดุสิต
คติประจำใจ : เดินซัดเซไปช้างหน้า ดีกว่ายืนตั้งท่าอยู่กับที่

ชีวิตในวัยเด็ก : ดิฉันเกิดที่บ้านนาคำ  ตำบลเดิด อำเภอเมือง  จังหวัดยโสธร  แต่มีความจำเป็นต้องพลัดพรากจากภูมิลำเนามาอยู่ที่จังหวัดชลบุรี  ตั้งแต่อายุได้2เดือน แม่เล่าให้ฟังว่าพ่อของดิฉันท่านเป็นคนจังหวัดร้อยเอ็ด  แต่เมื่อท่านได้รับการเกณฑ์ทหารจึงได้มาอยู่รับใช้บ้านนายที่จังหวัดยโสธรจนได้พบเจอกับแม่  พื้นฐานครอบครัวเดิมของพ่อดิฉันมีพี่น้องร่วมบิดาทั้งหมด 4 คน  ปู่กับย่าแยกทางกันตั้งแต่พ่ออยู่ชั้นประถมปีที่3 ด้วยความที่พ่อเป็นพี่ชายคนโต  ท่านจึงต้องลาออกจากโรงเรียนเพื่อมาทำงานหาเลี้ยงครอบครัว  โดยท่านได้ไปอาศัยเป็นคนงานในไร่ส้มที่จังหวัดศรีษะเกษกับญาติ  ตอนนั้นพ่อดิฉันอายุได้10ปี  จากนั้นพ่อก็ไปเป็นชาวสวนอ้อย รับจ้างตัดอ้อย 3-4 เดือนจะได้กลับมาหาย่ามาหาน้อง  พ่อเคยเล่าให้ฟังว่าสมัยเด็กๆพ่อกินข้าวกับตำมะยม  กินข้าวกับมะม่วงสุก มีอะไรก็ต้องกินกับอันนั้นเพราะไม่มีเงินที่จะซื้ออาหาร  เมื่อพ่อมาพบกับแม่   ด้วยความจนของพ่อจึงทำให้ตาไม่พอใจที่แม่จะครองรักกัน  ความรักของพ่อและแม่จึงมีอุปสรรคทางการเงินขัดขวางมาโดยตลอด  หลังจากแม่ตั้งท้องได้ 5 เดือน  พ่อจึงนำพาชะตาชีวิตตนเองไปพิสูจน์ตัวเองให้ตาเห็นว่าพ่อจะสามารถเลี้ยงดูแม่ได้  โดยไปทำงานโรงงานอยู่ที่จังหวัดชลบุรี                                     
                      เมื่อดิฉันคลอดได้ 2 เดือน แม่จึงพาดิฉันตามไปหาพ่อที่ชลบุรี  พ่อมาที่นี่แบบไม่มีอะไร มาแต่ตัวและกระเป๋าเสื้อผ้า1ใบ  คืนแรกของการนอนต่างบ้านต่างเมืองเป็นคืนที่แสนจะทรมาน  แม่เล่าให้ฟังว่ายุงกัดตามตัวดิฉันเต็มไปหมด  ด้วยความสงสารเพื่อนห้องข้างๆจึงนำพัดลมและมุ้งมาให้  เงินก้อนแรกของพ่อที่ได้จากการทำงาน  พ่อนำมาซื้อจักรยานไว้สำหรับเดินทางไปทำงานในทุกๆเช้า  พ่อเริ่มสร้างครอบครัว สร้างฐานะความเป็นอยู่ขงครอบครัวให้ดีขึ้น   สามปีต่อมา  พ่อซื้อรถจักรยานยนต์คันแรกด้วยราคา 1,200 บาท  เป็นรถที่มีลักษณะใหญ่  เสียงดัง  เก่าๆ แต่ยังคงสามารถใช้งานได้  พ่อจึงตัดสินใจนำมาต่อพ่วงเพื่อขายก๋วยเตี๋ยวจับกัง  ทุกๆเช้าพ่อจะขี่รถพ่วงเก่าๆขึ้นเขา  เพื่อพาดิฉันไปส่งโรงเรียนที่อยู่ในวัดแห่งหนึ่ง  ซึ่งดิฉันอยู่โรงเรียนวัดมาตั้งแต่อนุบาลถึงชั้นประถมปีที่ 6 เพื่อนๆในห้องจะพากันล้อเลียนเสียงรถพ่วงเก่าๆของพ่ออยู่เป็นประจำ  จนบางครั้งดิฉันอดน้อยใจในชะตาชีวิตไม่ได้  7 ปีผ่านไป  พ่อได้ซื้อรถจักรยานยนต์คันใหม่ด้วยเงินสดจำนวน 35,000 บาท  จากนั้นอีก2ปีต่อมา  พ่อได้ผ่อนรถกระบะมือ2  มาไว้ใช้เพื่อเดินทางไปกลับ ชลบุรี-ยโสธร และเมื่อ6ปีที่แล้วท่านก็ได้ซื้อรถกระบะป้ายแดง มาด้วยราคา 760,000 บาท ซื้อบ้านเดี่ยวขนาดปานกลาง  และซื้อที่ดินซึ่งปัจจุบันกำลังปลูกยางพาราจำนวน 11 ไร่  จนทุกวันนี้พ่อสามารถพิสูจน์ตัวเองให้ตายอมรับในความไม่ยอมแพ้กับชะตาชีวิตได้
                  ตั้งแต่จำความได้  พ่อคือผู้ชายที่อดทนต่อสู้กับโชคชะตา  กัดฟันสู้  ดิ้นรนจนสุดแรงมาโดยตลอด ความเหน็ดเหนื่อย  ความมุมานะเพียรพยายามของพ่อ  เป็นตัวอย่างที่ไม่ได้มาจากคำพูด  หากแต่การกระทำที่เป็นตัวอย่างที่ดีทั้งสิ้น

ข้อคิดจากอัตชีวประวัติ  :
               ชีวิตคนเราไม่สามารถเลือกสถานที่เกิด  เลือกพ่อ  เลือกแม่  เลือกฐานะความเป็นอยู่  หรือแม้แต่เลือกความมีชื่อเสียงได้  แต่ทุกสิ่งทุกอย่างจะดีขึ้นหรือไม่นั้น  เราเป็นผู้สร้างเองได้

ชีวิตในอนาคต :
                   จากภาพความเหน็ดเหนื่อย  จากภาพความลำบาก  จากภาพการดิ้นรนต่อสู้ของพ่อและแม่  ทำให้ดิฉันมีความมุ่งมั่นตั้งใจที่จะเลี้ยงดูให้ท่านทั้งสอง  ท่านเหนื่อยมามาก  ดิฉันอยากให้ท่านสบายทั้งกายและใจในช่วงปลายของชีวิต   จึงเลือกที่จะประกอบวิชาชีพชีพครู  เพราะคำพูดของแม่ที่เคยฝากดิฉันไว้ว่า ความฝันของแม่  แม่ทำไม่ได้  ฝากลูกช่วยทำความฝันของแม่ให้เป็นจริงด้วย และหวังว่าประสบการณ์ทางครอบครัวของดิฉันจะช่วยสอนให้ลูกศิษย์มีความคิดที่ดีต่อบุพการี  และเป้าหมายสูงสุดในชีวิตราชการของดิฉันคือ  ตำแหน่งผู้อำนวยการโรงเรียนค่ะ  
*** ผู้ที่ทำให้ดิฉันมีทุกวันนี้ "ครอบครัว" :))

วันจันทร์ที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2556

บันทึกสะท้อนการเรียนรู้ครั้งที่4

๑.) ความรู้ที่ได้รับ
๑.) อัตชีวประวัติ ( Autobiography)
มีรากศัพท์มาจากภาษากรีกสามคำ: “autos” แปลว่า ตนเองและคำว่า βίοςหรือ “bios” แปลว่า ชีวิตและคำว่า γράφεινหรือ “graphein” แปลว่า เขียนเป็นเรื่องราวของบุคคลโดยเขียนขึ้นโดยบุคคลคนนั้นเอง โดยเนื้อหา อาจเล่าถึงชีวิตส่วนตัวที่ไม่มีใครเคยรู้มาก่อน หรือ ไม่เคยถูกเผยแพร่ที่ไหนมาก่อน ชีวประวัติที่เขียนโดยเจ้าของชีวิต หรือในความหมายปัจจุบันหมายถึงประวัติที่ที่เขียนโดยเจ้าของชีวิตร่วมกับนักประพันธ์อาชีพในลักษณะบอกให้เขียน คำว่า อัตชีวประวัติใช้เป็นครั้งแรกโดย  โรเบิร์ต ซัทธีย์ (Robert Southey) ในปี ค.ศ. 1809 ในวรสารแต่ลักษณะการเขียนแบบนี้มีมาตั้งแต่สมัยโบราณ นักเขียนชีวประวัติมักจะเขียนประวัติจากเอกสารอ้างอิงต่างๆ และจากความคิดเห็นของตนเอง แต่นักเขียนอัตชีวประวัติเขียนจากความทรงจำของตนเอง ซึ่งใกล้เคียงกับบันทึกความทรงจำ (Memoir) ซึ่งบางครั้งแยกออกจากกันยาก   
.) การเขียนวิจารณ์
การเขียนวิจารณ์ คือ การค้นหาข้อดีและข้อไม่ดีของเรื่องที่จะวิจารณ์  ชี้ให้เห็นข้อบกพร่อง พร้อมทั้งเสนอแนวทางแก้ไขให้ดีขึ้น  เป็นการวิจารณ์เพื่อสร้างสรรค์
ลักษณะของการวิจารณ์
              1. การวิจารณ์เป็นการถ่ายทอดความคิดเห็น ชี้จุดเด่น จุดด้อย ตลอดจนความรู้สึกเกี่ยวกับสิ่งต่าง ๆ เช่น ผลงานด้านศิลปกรรม งานวรรณกรรม  ข่าวสารบ้านเมือง  เหตุการณ์ในสังคม  เรื่องราวของบุคคล เป็นต้น อย่างสมเหตุสมผล มีข้อมูลสนับสนุนความคิดเห็นอย่างตรงไปตรงมา  ไม่มีอคติต่อสิ่งที่วิจารณ์ เช่น หนังสือที่เราจะวิจารณ์นั้นมีอะไร  ให้เนื้อหาสาระแก่ผู้อ่านมากน้อยเพียงใด เป็นต้น
                2. เป็นข้อเขียนที่ชัดเจนในการบอกให้ผู้อ่านทราบถึงรายละเอียดของสิ่งนั้น ดังนั้นผู้วิจารณ์ต้องมีความรู้ความสามารถเกี่ยวกับเรื่องที่วิจารณ์เป็นอย่างดี เช่น การวิจารณ์วรรณกรรม จะต้องรู้ว่าเป็นหนังสือประเภทใด  ใครเป็นผู้แต่ง  มีเนื้อเรื่อง  วิธีการแต่ง  การใช้ภาษาเป็นอย่างไร เป็นต้น  แล้วจึงสามารถวินิจฉัยคุณค่าของสิ่งที่จะวิจารณ์ได้ว่าดีหรือไม่อย่างไร ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อผู้อ่านในการตัดสินใจ เลือกชม เลือกซื้อ เลือกอ่านสิ่งนั้น
                3. เป็นข้อเขียนที่อ่านแล้วเข้าใจง่าย น่าอ่าน ทำให้ผู้อ่านติดตามอ่านจนจบ   ใช้ถ้อยคำอย่างสร้างสรรค์ ไม่ใช้ถ้อยคำในเชิงประจาน หรือโจมตีผู้เขียนอย่างรุนแรง นอกจากนี้ บทวิจารณ์ที่ดีจะต้องให้ความรู้ ความคิด ข้อเสนอแนะ แก่ผู้อ่าน ชี้ให้เห็นคุณค่าพิเศษที่อยู่ในงานเขียนเรื่องนั้น  การเขียนเล่าเรื่องอาจเป็นการเขียนเกี่ยวกับประสบการณ์ส่วนตัวหรือเรื่องที่น่าสนใจ    

3.) การเขียนเรื่องเล่า

การเขียนเรื่องเล่าเป็นทั้งศาสตร์และศิลป์ แต่คนส่วนมากมักจะคิดว่า นักเขียนเป็นคนที่มีพรสวรรค์ด้านการเขียนติดตัวมาแต่กำเนิด ทั้งที่ในความเป็นจริงนักเขียนเหล่านั้นต้องฝึกปรือฝีมือตนเองอย่างหนักหน่วง และใฝ่หาความรู้เทคนิคการเขียนอยู่เสมอ ความคิดความเชื่อข้างต้นมีผลทำให้หลายๆ คน หมดกำลังใจในการเขียนและคิดว่าการเขียนเรื่องเล่าเป็นงานที่หนักหนา คงไม่สามารถเขียนได้เหมือนกับนักเขียนคนดังในดวงใจ
 จุดประสงค์ในการเขียน
            ๑. เพื่อให้เกิดความเพลิดเพลิน
            ๒. เพื่อถ่ายทอดความรู้  ประสบการณ์และข้อคิดให้ผู้อื่นทราบ
            ๓. เพื่อถ่ายทอดความรู้สึก  อารมณ์
            ๔. เพื่อเป็นคติสอนใจและเป็นแนวทางในการดำเนินชีวิต

ลักษณะของการเล่าเรื่องที่ดี
            ๑. มีการเริ่มเรื่องดี
            ๒. มีรายละเอียดที่น่าสนใจ
            ๓. ประกอบด้วยตัวละคร  บุคคลหรือสิ่งที่น่าสนใจ
            ๔. เป็นเรื่องหรือเหตุการณ์ที่ไม่ใช่ปกติธรรมดา
            ๕. มีจุดสุดยอดที่ตื่นเต้นเร้าใจ
            ๖.แทรกความขบขัน
            ๗. ทำให้เกิดความเข้าใจใคร่ติดตาม
            ๘. จบเรื่องเหมาะสม

วิธีการเขียนเล่าเรื่อง
            ๑. เตรียมเนื้อเรื่อง
                  ๑.๑ เลือกเนื้อเรื่องหรือเหตุการณ์ที่น่าสนใจ  และประทับใจผู้เล่ามากที่สุด
                  ๑.๒ เรียงลำดับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น  ซึ่งอาจเริ่มตั้งแต่การนำเรื่องไปสู่เหตุการณ์ที่น่าประทับใจที่สุด    แล้วจบด้วยการสรุปเป็นข้อคิด  ข้อเตือนใจ  ข้อเสนอแนะหรือทิ้งให้คิด
                  ๑.๓ พิจารณาเนื้อเรื่องที่จัดละดับให้มีความสั้นยาวพอเหมาะกัน
                  ๑.๔ เลือกใช้สำนวนภาษาให้เหมาะสมกับเนื้อเรื่อง
            ๒. กำหนดโครงเรื่องที่เตรียมไว้   โดยแยกเป็นส่วนคำนำ  เนื้อเรื่อง  สรุป
การเตรียมโครงเรื่อง
            ๑. ที่มาของเรื่อง
            ๒. สถานที่และเวลาที่เกิดเรื่อง
            ๓. ผู้เกี่ยวข้องหรือผู้มีบทบาทสำคัญในเรื่อง
            ๔. เรื่องหรือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตามลำดับ
            ๕. ผลอันเนื่องมาจากเรื่องหรือเหตุการณ์สำคัญ
            ๓. ลงมือเรียบเรียง   ตามลักษณะต่างๆ   ดังนี้
                  ๓.๑ ตามลำดับเวลา   เกิดก่อนไปสู่ปัจจุบันตามลำดับเวลา
                  ๓.๒ ตามลำดับหัวข้อ   จากหัวข้อสำคัญมากไปหาความสำคัญน้อย
                  ๓.๓ โดยการอธิบาย  วิเคราะห์เรื่องราวตามลำดับความสำคัญของเรื่อง
            ๔. ใช้ประโยคนำเรื่องที่ชวนให้ผู้อ่านสนใจ   เช่น
                  - เรื่องนี้ไม่น่าจะเกิดขึ้นได้  แต่ก็เกิดขึ้นแล้วเมื่อวานนี้เอง
                  - กว่าจะเกลี้ยกล่อมให้คุณพ่อซื้อเครื่องรับโทรทัศน์ได้  จะต้องใช้ความพยายามอย่างมาก
            ๕. นำเรื่องไปสู่จุดสุดยอด  ซึ่งได้แก่จุดที่น่าสนใจหรือซับซ้อนที่สุดของเรื่อง   จุดสุดยอดเป็นจุดที่เรื่องหรือเหตุการณ์ทั้งหมดดำเนินไปสู่   และต่อจากจุดสุดยอดจะมีเรื่องที่ต้องกล่าวอีกเพียงเล็กน้อยก็จบเรื่อง
            ๖. จบเรื่องในลักษณะที่ชวนให้ผู้อ่านรู้สึกว่าข้อขัดแย้งหรือปัญหาต่างๆ ได้คลี่คลายไปแล้ว และรู้ชัดแจ้งว่าอะไรเกิดขึ้นกับบุคคลที่เกี่ยวข้อง   ผู้อ่านควรจะรู้สึกว่าตนเข้าใจเรื่องทั้งหมดแจ่มแจ้งเมื่อได้อ่านเรื่องจบลง
            ๗. ใช้ถ้อยคำสำนวนภาษาให้เหมาะสมแก่เรื่องและตัวละคร
            ๘. ลีลาการเขียน
                  ๘.๑ การเลือกสรรคำ   ควรใช้คำธรรมดาง่ายๆ ก่อให้เกิดความรู้สึก  ใช้สำนวนไทย  ใช้คำกระทัดรัด  ไม่ควรใช้ภาษาถิ่น  คำย่อ  ตัวเลขที่ไม่เป็นทางการ
                  ๘.๒ การใช้โวหาร   โวหารในการเขียนมี    ชนิด   คือ
                          ๘.๒.๑ บรรยายโวหาร   เป็นการอธิบายอย่างถี่ถ้วน   เป็นการเล่าเรื่องหรืออธิบายเหตุการณ์   จุดประสงค์เพื่อให้ความรู้แก่ผู้อ่าน
                          ๘.๒.๒ พรรณนาโวหาร   เป็นโวหารที่สอดแทรกอารมณ์ความรู้สึกของผู้เขียน  เพื่อให้ผู้อ่านมองเห็นภาพ
                          ๘.๒.๓ เทศนาโวหาร   เป็นโวหารสั่งสอน   ชักจูงใจ
                          ๘.๒.๔ อุปมาโวหาร   เป็นโวหารเปรียบเทียบ
                          ๘.๒.๕ สาธกโวหาร   เป็นโวหารแสดงเหตุผลและการยกตัวอย่าง

๒.) ความรู้ใหม่
                จากการเล่าอัตชีวประวัติของเพื่อนหลายๆคนในวันนี้  ทำให้ได้แนวคิดหรืออีกมุมมองหนึ่งของชีวิต เช่น อัตชีวประวัติของแสงเทียน  ทำให้ดิฉันมองเห็นปัญหาชีวิตของใครอีกหลายๆคนว่าเป็นเพียงแค่ส่วนเล็กๆของชีวิตผู้หญิงคนนี้เท่านั้น  และหวังว่าสิ่งที่เขาได้นำมาบอกเล่าถึงประสบการณ์ชีวิตในวันนี้  จะทำให้เพื่อนหลายๆคน  มีกำลังใจที่จะต่อสู้กับปัญหาและอุปสรรคต่อไป

๓.) ข้อเสนอแนะ
         การนำเกมมาใช้ในการเรียนการสอน  หรือแม้แต่การให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในรูปแบบอื่นๆ  มีส่วนช่วยให้นักเรียนเป็นส่วนหนึ่งของการเรียนการสอนนั้นๆด้วย  จึงทำให้ผู้เรียนรู้สึกว่าตนเองมีคุณค่า 


นางสาวนิภารัตน์     รุมกิ่ง    รหัสนักศึกษา 55113400169   ตอนเรียน D1



วันจันทร์ที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

บันทึกสะท้อนการเรียนรู้ครั้งที่3

1.) ความรู้ที่ได้รับ
ความหมายของการเขียน
                การเขียน หมายถึง การถ่ายทอดความรู้  ความคิด  ความรู้สึก  ความต้องการ และอื่นๆของผู้ส่งสารออกไปเป็นลายลักษณ์อักษร  เพื่อสื่อความหมายให้ผู้อ่านทำความเข้าใจเพื่อตอบสนองตามวัตถุประสงค์ของผู้เขียน
ลักษณะของภาษาเขียน
1.   ภาษาระดับพิธีการ  ถ้อยคำที่ใช้เป็นถ้อยคำระดับสูง ภาษาที่เป็นระดับพิธีการจึงเป็นภาษาที่งดงาม ไพเราะและประณีต ผู้ใช้ภาษาระดับนี้ต้องระมัดระวังอย่างยิ่ง  นอกจากจะใช้ในโอกาสสำคัญ เช่น ในงานพระราชพิธีแล้วยังใช้ในวรรณกรรมชั้นสูงอีกด้วย
2.    ภาษาระดับราชการ/ภาษาแบบแผน  การใช้ภาษาในระดับนี้มีทั้งการใช้ถ้อยคำระดับสูง  เช่น คำราชาศัพท์  คำแสดงความสุภาพ  และการใช้ถ้อยคำระดับสามัญที่ใช้เป็นภาษาราชการและใช้สื่อสารกันทั่วไปในภาษาไทย  แม้จะไม่ตกแต่งประณีตไพเราะเท่ากับภาษาระดับพิธีการ  แต่มีความชัดเจน  สุภาพ  สละสลวย  ใช้ในโอกาสสำคัญที่เป็นทางการ  และใช้ในการพูด  การเขียนวิชาการต่างๆ
3.      ภาษาระดับกึ่งทางการ  ใช้ในการติดต่อสื่อสารกับคนที่ไม่สนิทสนมกัน  หรือใช้ติดต่อธุรการงาน  และนำไปใช้เขียนบทความแสดงความคิดเห็น  สารคดีท่องเที่ยว  หรือเรื่องเล่าต่างๆ  ที่ผู้เขียนต้องการให้ผู้อ่านรู้สึกเหมือนฟังผู้เขียนเล่าเรื่องอย่างไม่เป็นทางการ  สร้างความคุ้นเคยให้กับผู้เขียนและผู้อ่าน
4.     ภาษาระดับสนทนา  เป็นภาษาที่ใช้สนทนาทั่วไปในชีวิตประจำวัน  กรณีที่ผู้ส่งสารคุ้นเคยกับผู้รับสารหรือในการติดต่องานทั่วไป  ใช้คำระดับต่ำ มีการใช้คำตัด คำย่อ  คำแสลง  แต่ไม่ใช้คำหยาบ 
5.     ภาษาระดับกันเอง/ภาษาปาก  เป็นภาษาที่ใช้สนทนากับผู้ที่สนิทสนมกันมากๆ  มักพูดในสถานการณ์ที่เป็นที่ส่วนตัวและเมื่อต้องการความสนุกสนานหรือในการด่าเมื่อทะเลาะกัน  ภาษาระดับกันเองนี้จะมีการตัดคำ  คำหยาบ  คำแสลง  คำต่ำ อยู่เป็นจำนวนมาก    
2.) ความรู้ใหม่
                สำนวนไทยที่ว่า ชักแม่น้ำทั้งห้าที่หมายถึง พูดจาหว่านล้อม สรรเสริญยกย่องบุญคุณ เพื่อขอสิ่งที่ประสงค์ แม่น้ำทั้งห้าที่กล่าวมีที่มาจากวรรณคดีวิจักษ์ เรื่องพระเวชสันดรชาดก ตอนกัณฑ์กุมาร ซึ่งแม่น้ำทั้งห้า เป็นแม่น้ำในฝั่งประเทศอินเดีย ได้แก่
               1.                  แม่น้ำอจิรวดี
               2.                  แม่น้ำคงคา
               3.                  แม่น้ำสรภู
               4.                  แม่น้ำมหิ
               5.                  แม่น้ำอนุมา
3.) ข้อเสนอแนะ
                   ความรู้พื้นฐานต่างๆที่ได้กล่าวไปแล้ว เป็นสิ่งจำเป็นที่จะต้องศึกษาก่อนให้เกิดความรู้เบื้องต้น เพื่อที่จะได้นำไปใช้ในการคิด พิจารณา เรียนรู้เพิ่มเติมและฝึกฝนในรายละเอียดต่อไป การศึกษาอะไรก็ตามถ้าขาดพื้นฐานก็จะทำให้เกิดอุปสรรคปัญหาในการศึกษาระดับสูง  ทั้งในเชิงกว้างและเชิงรุกในอนาคต



นางสาวนิภารัตน์  รุมกิ่ง      รหัสนักศึกษา 55113400169      ตอนเรียน D1

วันอังคารที่ 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

บันทึกสะท้อนการเรียนรู้ครั้งที่1

1.) สิ่งที่ได้เรียนรู้
โดยปกติแล้วเวลาที่นักเรียน/นักศึกษาได้ทราบว่าจะต้องเรียนวิชาที่เกี่ยวข้องกับภาษาไทย ไม่ว่าจะเป็นในระดับชั้นใดก็ตาม ทุกคนจะมีความคิดเห็นถึงภาพลักษณ์ครูภาษาไทยในจินตนาการเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันโดยอัตโนมัติว่า ครูผู้สอนภาษาไทยจะค่อนข้างเข้มงวดด้านระเบียบวินัย ทรงผม การแต่งกาย ในขณะที่ทำการสอนก็มักจะเน้นด้านเนื้อหาความรู้และท่านก็มักจะวางตัวแบบจริงจังอยู่ตลอดเวลา จึงทำให้กลายเป็นวิชาที่พอได้ยินเพียงชื่อวิชาก็จะรู้สึกว่าไม่อยากเรียน สำหรับการพบกับอาจารย์ผู้สอนในรายวิชาทักษะการเขียนสำหรับครูในครั้งแรก ดิฉันรู้สึกประทับใจครูผู้สอน เพราะท่านมีความแตกต่างจากครูภาษาไทยที่เราเคยพบเจอ สำหรับวันนี้ถึงแม้จะเป็นเพียงการปฐมนิเทศ แต่ก็ทำให้ดิฉันหัวเราะและรู้สึกกล้าที่จะแสดงความคิดเห็นได้ตลอดการเรียนการสอน. นอกจากนั้นถึงแม้จะยังไม่เคยเรียนเนื้อหาในรายวิชา แต่จากความประทับใจครูผู้สอนก็ส่งผลให้ดิฉันมีเจตคติที่ดีต่อรายวิชาทักษะการเขียนสำหรับครูนี้ด้วย
2.) ความรู้ใหม่  
หากครั้งแรกที่พบกันมีความรู้สึกดี มีความรู้สึกประทับใจ ก็มักจะส่งผลให้เรามองการกระทำของบุคคลนั้นเป็นด้านบวกอยู่เสมอ แม้บุคคลนั้นจะกระทำความผิดแต่ความประทับใจจากครั้งแรกก็จะทำให้เรามีความคิดว่าเป็นเรื่องเล็กน้อย แต่ในทางกลับกันถ้าการพบกันครั้งแรกมีความรู้สึกที่ไม่ดี ก็ย่อมส่งผลให้เรามองเขาเป็นด้านลบตลอดเวลา ถึงแม้บุคคลผู้นั้นจะกระทำความดี แต่เราก็มีความคิดว่าเขายังทำไม่ดี และหากกระทำผิดเพียงเล็กน้อย เราก็มักจะมองว่าเป็นเรื่องใหญ่ ดังนั้นดิฉันจึงเชื่อว่าการพบกันในครั้งแรกจะเป็นความทรงจำที่ยาวนานและมีอิทธิพลเป็นอย่างมากต่อทัศนคติของคนเราที่จะมองบุคคลผู้นั้นต่อไปในอนาคต
3.) ข้อเสนอแนะ  
ความเป็นกันเองของอาจารย์ ดร.วัชรพล การเปิดโอกาสให้ซักถามข้อสงสัย ทำให้ช่องว่างระหว่างนักศึกษากับครูผู้สอนลดลง ทำให้นักศึกษากล้าที่จะแสดงออก และรู้สึกว่าตนเองมีส่วนร่วม